วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2555

เซอร์เบีย...ไม่ใช่ไซบีเรีย (4): ความวัวหายไปแล้ว ความควายก็หายตาม




ถ้าโลกนี้มีการแข่งโอลิมปิกส์เพื่อชิง “แชมป์” ทำของหาย เราคงเป็นตัวแทนชาติไทยไชโย คว้าเหรียญทองมาสู่อ้อมอกพ่อแม่พี่น้องเฉกเช่นสมรักษ์ คำสิงห์ ตั้งแต่เกิดมา เราทำสมบัติที่บุพการีหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง หรือที่ตัวเองได้มาด้วยหยาดเหงื่อแรงงานหายไปหลายชิ้นอยู่ แต่ไม่เคยคาดคิดว่าความสามารถพิเศษในการทำของหายจะนำพามาซึ่งความ “ชิ้บหาย” หลายครั้งหลายคราตอนทำวิจัยที่เซอร์เบีย และขณะเดินทางในประเทศอื่นๆ ในยุโรป แต่ดูเหมือนทุกครั้งที่บางสิ่งหาย เรากลับ “เจอ” ความหมายของสัมพันธภาพในชีวิตที่เรามักละเลย หรือแสร้งมองไม่เห็น

เมื่อเก็บข้อมูลทำวิทยานิพนธ์ไปได้ครึ่งทาง เราตัดสินใจเดินทางไปข้ามพรมแดนจากเซอร์เบียตอนเหนือไปยังบูดาเปส (ฮังการี), เวียนนา (ออสเตรีย), พัสเซา (ชายแดนเยอรมันนี-ออสเตรีย) และจบที่ปราค (สาธารณรัฐเชค) ตั๋วเดินทางนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการเรียนเลย เป็นตัณหาส่วนตัวล้วนๆ... ก่อนเดินทาง เราสัมภาษณ์คนแบบมาราธอนที่เมืองต่างๆ ทางตอนเหนือของเซอร์เบีย เริ่มจากนอวิ สาด, ซเรมสกา มิตโตรวิทซา และลัดเลาะต่อไปยังเมืองชายแดนเซอร์เบีย-ฮังการี ที่ชื่อว่าซุบโบติซา (คราวหน้าค่อยเล่าถึงการผจญภัยในเมืองออก ตก เหนือ ใต้ ของเซอร์เบีย นี่เป็นมหากาพย์เทียบได้กับ “อลิซในแดนมหัศจรรย์”) ที่ซุบปโบติซาเรามีสัมภาษณ์นักกิจกรรม หรือแอคติวิสต์สองคน บังเอิญว่าคนที่สำคัญ แกดันย้ายไปอยู่เมืองชายแดนของชายแดน ชื่อว่า “คา-นยีชา” ที่เมืองนี้ผู้คนแทบไม่ใช้ภาษาเซอร์โบ-โครเอเชียเลย แต่ใช้ภาษาฮังการีเป็นหลัก เพราะเพิ่งถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของเซอร์เบียเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่สองเท่านั้น การนั่งรถเมล์จากซุบโบติซาไปยังคายนีชา ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณห้าสิบกิโล ถือเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่ง...ไม่ใช่ความบันเทิงของเรา แต่เป็นความบันเทิงของพี่เซริ์บและ “มาคย่า” (Magyar - คือคนฮังกาเรียนเค้าเรียกตัวเองด้วยชื่อนี้) คนเหล่านี้ไม่เคยเห็นหญิงชาวเอเชีย ระบุสัญชาติลำบาก แบบตัดสินไม่ได้ว่ามันเป็นเจ็ก ลาว ไทย เกาหลี ญี่ปุ่น หรือเวียดนาม เดินทางอย่างบ้าบิ่น โดยสารรถเมล์ท้องถิ่น แบบไม่สนใจขอบเขตความสามารถทางภาษาของตัวเอง...ทุกคนในรถมองเราเหมือนเป็นสัตว์ประหลาด หลุดออกมาจากสวนสัตว์ ณ ดาวบางยี่ขัน พอพูดภาษาเค้าไม่ได้ เราก็ลงรถเลยป้าย เพราะกระเป๋ารถเมล์อาจคิดว่าวลีที่เราพยายามสื่อสาร “โดสเล่ อู คา-นยีชา” (เป็นภาษาเซริ์บไวยกรณ์ผิดเพี้ยน แปลว่า “ลงที่คา-นยีชา”) คงหมายถึง “กูไม่ลงป้ายหน้า” สุดท้ายแล้วมันให้กรูไปลงป้ายสุดท้าย...)

จากคา-นยีชา เรากลับมาค้างโรงแรมที่ซุบโบติซา สำหรับผู้ที่ทึกทักไปว่าโรงแรมโดยทั่วไปน่ามีสามัญสำนึกแยกระหว่างห้องสูบบุหรี่และไม่สูบบุหรี่ ควรสำเหนียกว่าสามัญสำนึกของท่านผิด ในเซอร์เบียมาตรการดังกล่าวเป็นธรรมเนียมต่างด้าว เราเข้าพักในโรงแรมจำนวนหนึ่งในเซอร์เบีย ทุกครั้งต้องนอนดมกลิ่นบุหรี่ เสมือนเป็นน้ำหอมประจำห้อง แม้คิดว่าชินชาแล้ว ที่ในโรงแรมที่ซุบโบติชา เป็นขั้น “เหนือเทพ” ของโรงแรมไร้สามัญสำนึก ตลอดคืนที่นอน รู้สึกเหมือนอีห้องข้างๆ ติดท่อดูดควันบุหรี่มาที่ห้องเราด้วย เราขอเปลี่ยนห้องก็แล้ว แจ้งพนักงานก็แล้ว (พนักงานทำหน้าประหลับประเหลือกเหมือนกำลังด่าในใจว่า “แค่ควันบุหรี่ ทำไมดัดจริตทนไม่ได้”) ไม่สัมฤทธิ์ผล เหมือนท่อดูดควันนั้นตามมาทุกชาติไป สุดท้ายต้องพยายามอดทนนอนและคิดในใจว่า “เอาน่ามะเร็งปอด ไม่ใช่เอดส์” ...ก็แม่สอนให้มองโลกในแง่ดี

ตื่นเช้ามารู้สึกเหมือนถูกพิษนางพญาบุหรี่ไร้เงา มึนงง ปวดหัว และหงุดหงิดหงุมหงิม กัดฟันไปท่ารถเมล์เพื่อเดินทางไปบูดาเปส พยายามจินตนาการภาพปราสาทราชวังอลังการ และการเดินทางพักผ่อนอันน่าตื่นเต้น หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากวิจัยภาคสนามมาเกือบสองเดือน... ฉไนเราจะล่วงรู้ได้ว่า ความคาดหวังเช่นนั้นคือการประมาทความซุ่มซ่าม นิสัยเลินเล่อชอบทำของหายของตัวเอง
อยู่บูดาเปสสองสามวัน ต่อรถบัสไปเวียนนา เหตุการณ์ทั่วไปดูเหมือนราบเรียบ (เว้นแต่โดนโรคจิตเดินตามที่เวียนนา) จากนั้นนั่งรถไฟไปเยี่ยมเพื่อนสมัยป.ตรีที่รัฐศาสตร์ และตอนนี้เรียนป.เอกอยู่พาสเซา เยอรมัน เพื่อนเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี จนวางใจไปว่า เอาหล่ะการเดินทางครั้งนี้ไม่น่ามีอะไรผิดพลาด สัตว์ประหลาดแห่งความโชคร้ายคงไม่โผล่มา ทว่า “ความประมาทอยู่ไหน ความซวยอยู่ที่นั่น” พระท่านว่าไว้ (...ทำนองนี้มั้ง?) จุดหมายสุดท้ายของการเดินทางคือ “ปราค” นครหลวงแห่งสาธารณรัฐเชค วันที่ไปถึงเป็นวันแดดจ้า อากาศดีผิดปกติจากวันฟ้าทะมึนโดยทั่วไปของฤดูใบไม้ร่วง เราเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปสถานที่สำคัญต่างๆ เช่น Wenceslas Square (จตุรัสสำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นเสมือน “ตลาด” การปฏิวัติของประเทศ เพราะพี่เชคมักรวมรวมตัว ณ จตุรัสแห่งนี้เพื่อต่อต้านผู้ปกครอง หรือกองกำลังต่างชาติที่เข้ายึดครองเมืองของตน โดยเฉพาะช่วงสงครามมเย็นที่สหภาพโซเวียตเข้ายึดครองเชคโกสโลวัคเกีย) และหอนาฬิกาเมือง รวมถึงโรงละครเก่าแก่ ซึ่งเป็นทั้งที่ทำงาน และฐานวางยุทธศาสตร์ของวาสคลาฟ ฮาเวล ศิลปินผู้เขียนบทละครเวที และช่วยรอยต่อสงครามเย็นได้กลายเป็นผู้นำชาวเชคโค่นล้มจักรวรรดิโซเวียตในประเทศตน

วันแรกผ่านไปอย่างไร้ความซวย พอถึงวันที่สอง อากาศสดใสเช่นเดิม ราวกับพระเจ้ากำลังใช้กลลวงล่อให้มนุษย์ซุ่มซ่ามอย่างเราตายใจ... เราเดินไปในย่านเมืองเก่า (Old Town) ซึ่งมีงานเทศกาลอาหารนานาชาติ ตามประสาคนชอบผจญภัยไปกับการดื่มกิน ลิ้มรสอาหารชาติพันธุ์ต่างๆ งานนี้ถือเป็นที่ละลานตา จันจิราจึถือโอกาส “เดินไปชิมไป” สุดท้ายได้ “กูลาช” ซึ่งเป็นอาหารแห่งชาติของผู้คนแถวยุโรปตะวันออก (เทียบได้กับส้มตำในบ้านเฮา) มาให้ลิ้นได้ลิ้มลอง จากร้านขายกูลาช กลิ่นไส้กรอกและขาหมูย่างเตะจมูก เชื้อชวนให้เดินมายังร้านที่มีผู้คนต่อแถวแน่นขนัด มีหรือที่มนุษย์ผู้คลั่งไคล้อาหารต่างชาติอย่างเราจะย่อท้อ เราตรงปรี่เข้าไปต่อแถวทันที พอใกล้ถึงคิวสั่งไว้กรอก เราควักกระเป๋าเงินออกมาเพื่อหาเศษเหรียญยูโร จากนั้นเก็บกระเป๋าเงินเข้าไปในกระเป๋าสะพาย พอถึงคิว เจ๊คนขายบอกว่าราคาไส้กรอกอันเป็นที่ต้องการนั้นราคามากกว่าจำนวนเงินที่เตรียมไว้ เราควานหากระเป๋าเงินในกระเป๋าสะพาย ควานอยู่สองสามนาที จนเจ๊ขายไส้กรอก เริ่มหมั่นไส้ เรามิได้สนใจ ควานหากระเป๋าเงินต่อไป... “ฉิบหาย” อันที่จริงต้องอุทานว่า “เงินหายมากกว่า” ...หายไปเลย ทั้งกระเป๋าเงินและ “ใจ” ช่วงสามวินาทีแรกสมองตื้อ ไม่แน่ใจว่าจะทำยังไงกับชีวิตต่อไป สามวินาทีถัดมา เจ้าความคิดแผลงๆ ผุดขึ้น “เฮ้ย กระเป๋าตังค์หายนี่เป็นหลักไมล์ของนักเดินทางผจญภัยนี่หว่า” ...ไม่เจียมตัวจริงๆ
โชคดีที่ชาวบ้านแถวนั้นสงสารเจ๊กตาดำๆ เลยช่วยควาญหากระเป๋าตามพื้น ความใจดีมีอายุได้สามวินาทีครึ่ง ผู้คนจริงสรุปว่าเราโดนล้วงกระเป๋าแน่ๆ ถ้าเป็นอย่างนั้น อย่าพยายามหามันเลย เพราะไม่มีทางเจอ เจ๊ร้านขายไส้กรอกมีระดับความใจดีมากกว่า “เชคมุง” นิดหน่อย เสนอไส้กรอกสองอันมาให้กินฟรี ผู้หญิงอีกคนที่ยืนข้างๆ เห็นหน้าเราเหมือนก้ำกึ่งระหว่างจะร้องไห้และตะโกนด่าพวก “เชคมุง” เลยอาสาพาเราไปสถานีตำรวจ เพื่อแจ้งความ




ชาวไทยทั่วไปที่มาเที่ยวเชคคงหวังเห็นปราสาท ราชวัง หรือตักตวงบรรยากาส “โรกะติก” กับคนรัก ทว่าเรามิเคยเป็นหนึ่งในคนธรรมดาเหล่านั้น ฉะนั้นมีหรือที่เราสามารถท่องเที่ยวแบบสามัญได้ ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ เราถือโอกาอันดีเข้าเยี่ยมชมสถานีตำรวจแห่งนครหลวงปราค สิ่งหนึ่งที่คนไทยอย่างเราควรเรียนรู้เกี่ยวกับสถานีตำรวจเชคคือ ระบบราชการอันเป็นมรดกจากระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ฉะนั้นอย่าได้หวังว่าเจ้าหน้าที่จะใจดีสงสารนักท่องเที่ยวต่างชาติผู้ตกเป็นเหยื่ออาชญากรในประเทศตน และอย่าหวังว่าการแจ้งความจะช่วยคลี่คลายคดีความ หรือเอื้อให้กระเป๋าที่หายไปกลับมาหาเจ้าของมันได้ถูกทาง... ระบบราชการตำรวจแบบสืบทอดจากระบอบคอมนิวนิสต์คือราชการซึ่งมีหน้าที่ “บันทึก”...บันทึกประวัติศาสตร์ความเดือดร้อนของประชาชน การบันทึกช่วยให้เราจำอะไรได้ง่ายขึ้น ไม่หลงลืมว่าเกิดภัยพิบัติอะไรในอดีต แต่การบันทึกต่างการบรรเทาภัยอาชญากรรมซึ่งเป็นหน้าที่พื้นฐานของตำรวจ ข่าวดีสำหรับประชากรชาวไทยคือ แม้เราจะอ้างว่าพี่ไทยเป็นประชาธิปไตย (แบบอณุญาติให้ทหารนำรัฐประหารบ้างเป็นครั้งคราว) แต่ระบบราชการเช่นนี้อยู่คู่แผ่นดินไทยมาตั้งแต่ปู่ย่าตาทวดจำความได้ ดังนั้นชาวไทยอย่างเราเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เผชิญหน้ากับตำรวจเชค จึงได้โอกาสใช้ทักษะพิเศษ “ทึกทน” กับราชการตำรวจซึ่งฝึกปรือมาจากสังคมไทยให้เป็นประโยชน์

เจ้าหน้าที่เพียงคนเดียวในสถานีตำรวจเมืองเก่าปราคที่สื่อสารภาษาอังกฤษได้ เป็นผู้หญิง หน้าตาคล้ายแม่ไจแอนท์ ในการ์ตูนโดราเอมอน แม่ไจแอนท์...เอ้ยเจ้าพนักงานหญิงถามว่ากระเป๋าตังค์เราอันตรธารไปได้อย่างไร หลังจากเราเล่ารายเอียดให้ฟัง เจ๊แกมองหน้าเราสักพักด้วยความสมเพช ปนสมน้ำหน้า แล้วแหกปาก น้ำลายกระเด็นใส่ตาข้างซ้ายเราว่า “ยูโง่รึเปล่าเนี่ย ที่ทำกระเป๋าเงินหายแบบนั้นได้” ...น่าน... เป็นบาปกรรมของกรูเองที่ดันมาแจ้งความ น่าจะให้มันหายรู้แล้วรู้แรดไป

เราทัศนศึกษาที่สถานตำรวจอยู่นานถึงสี่ช่วงโมง เวลาส่วนมากใช้ไปกับการรอ...รอ...และรอ และเล่าเรื่องช้ำซาก กรอกเอกสารเดิมๆ เป็นขั้นตอนอันคุ้นเคย ชาวไทยอย่างเราฝึกวิทยายุทธเช่นนี้มาอย่างดี มีหรือจะคณากับสี่ชั่วโมงที่หายไปในวันอากาศดี ซึ่งควรใช้ไปกับการท่องเที่ยวในเมืองประวัติศาสตร์แห่งนี้... ไม่เลย ไม่เสียดาย ไม่เสียใจ แค่เกือบเสียสติ

โชคดีที่เราจ่ายค่าที่พักและค่าตั๋วรถไฟเดินทางกลับเบลเกรดเพื่อเก็บข้อมูลวิจัยต่อไปแล้ว และโชคดีที่เรากลับเบลเกรดวันรุ่งขึ้น ดังนั้นจึงไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรมาก โรงแรมที่อยู่มีอาหารเช้าให้ ส่วนกูลาชซึ่งเป็น the last supper ก็อยู่ท้องได้จากกลางวันจนถึงเย็น (อืม ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอิ่มกูลาช หรือเอือมกับหน้าเจ๊เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เราทนอยู่ด้วยถึงสี่ชั่วโมง) เราติดต่อทางบ้านให้โอนเงินสดฉุกเฉินมาให้ ซึ่งจะได้วันรุ่งขึ้น ดูเหมือนเราแก้วิกฤตได้ระดับหนึ่ง แต่กระเป๋าตังค์ที่หายไปเป็นดั่งตัวแทน “ความมั่นคง” ของคนเดินทางต่างถิ่นอย่างเรา กระเป๋าตังค์หายจึงมากกว่าเงินหาย แต่ความรู้สึกมั่นใจกับอนาคตข้างหน้า ความเชื่อใจกับคนแปลกหน้ารอบข้าง ก็หายไปด้วย... แม้สติปัญญา (ที่เหลืออยู่บ้าง) จะพยายามคิดหาหนทางใช้ชีวิตในเบลเกรด และทำงานวิจัยต่อให้ได้ ระหว่างที่รอให้ธนาคารทางออสเตรเลียส่งบัตรเครดิตที่หายไปมาให้ใหม่ เราไม่ใจว่า “อาการใจหาย” จะรักษาได้ด้วยสติปัญญา

หลังจากกระเป๋าเงินหายที่ปราค เราต้องแก้ปัญหาอีกจำนวนมากที่ตามมากจากเอกสารที่หายไปกับกระเป๋าเงิน เรากลายเป็น “ผู้ขาดทุนทรัพย์” อย่างเป็นทางการ แม้เป็นเวลาชั่วคราวก็ตาม ช่วงสองสามวันแรกที่กลับไปถึงเบลเกรด แทบไม่มีเงินเลย บางวันต้องอดมื้อกินมื้อ ท่ามกลางความลำบากทางกาย และไม่สบายใจเหล่านี้ เราเรียนรู้ถึงความหมายของ “ความไม่มี” เป็นครั้งแรกในชีวิต แม้ที่บ้านเราไม่ได้ร่ำรวย แต่ตั้งแต่เกิดมาพ่อแม่ไม่เคยปล่อยให้เราไม่มีแม้เงินแดงเดียวเพื่อดำรงชีวิต หรือยอมให้เราไม่มีอาหารตกถึงท้อง ที่สำคัญกว่าความเข้าใจถึง “ความไม่มี” คือเรารู้ซึ้งถึงมิตรภาพของเพื่อนที่ค่อยเป็นห่วงเป็นใย และให้คำปรึกษาอันชาญฉลาดในยามวิกฤต เพื่อนนักศึกษาปริญญาเอกชาวออสซี่คนหนึ่ง ที่ตอนนี้กลายเป็นเพื่อนคู่ทุกข์ยาก ส่งกำลังใจมาให้เสมอและคอยถามไถ่ถึงสถานการณ์วิกฤตของเราว่าคลี่คลายไปได้มากน้อยเพียงใด ทั้งยังช่วยหาทางเคลมประกันกับทางมหาลัยเพื่อให้เราได้รับเงินชดเชยเท่ากับจำนวนเงินที่หายไปกับกระเป๋าสตางค์ อาจารย์ผู้เป็นดั่งบุพการีในเมืองไทยถึงกับเอ่ยปากเสนอโอนเงินให้เราใช้จ่ายระหว่างรอบัตรเครดิต เพื่อนผู้ซึ่งรู้จักกันเพียงไม่กี่เดือนในเบลเกรดอาสาขับรถพาเราไปสัมภาษณ์คนในที่ต่างๆ โดยออกค่าน้ำมันให้ และบางครั้งเลี้ยงอาหารเรา ที่สำคัญที่สุดคือคนในครอบครัวเรา ทั้งพ่อแม่และน้องสาวที่พยายามทุกวิถีทางเพื่อโอนเงินให้เรา มายังประเทศที่พวกเขาไม่แน่ใจกระทั่งว่าตั้งอยู่ตำแหน่งแห่งหนใดของโลกใบนี้

แม้กระเป๋าเงินหาย เราได้ค้นพบความหมายของสัมพันธภาพของผู้คนในชีวิตเรา หลายคราเราแสร้างว่าความสัมพันธ์เป็นเหล่านี้เป็น “given” คือมันอยู่ตรงนั้น นานวันจนเรามองไม่เป็นคุณค่าของมัน หรือไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีตัวตน เราใช้ชีวิตกับคนใกล้ชิดแต่ละวันโดยไม่สะท้านว่า ที่เราดำรงชีวิตอยู่ได้เพราะมีสายใยโอบอุ้ม มีผู้คนจำนวนหนึ่งเสียสละส่วนเสี้ยวของชีวิต (ในกรณีพ่อแม่ อาจเป็นเกือบทั้งหมดของชีวิต) เพื่อให้เราได้ทำในสิ่งที่ต้องการ และเดินทางในผจญภัยในเส้นทางแห่งความฝันได้ อาจเปรียบได้ว่าสายใยแห่งความสัมพันธ์เหล่านี้คืออาภรณ์อันเหมาะสมต่อการเดินทาง รองเท้าที่ใส่สบายเพื่อให้เดินทางไกลได้ ทั้งในยามแข้งขาอ่อนแรง ยังเป็นไม้เท้าค้ำจุน ประคองให้สองขาเดินต่อไป และเมื่อฝนตกลมแรง สัมพันธภาพในชีวิตเป็นเสมือนเสื้อกันฝน หรือกระทั่งศาลาริมทาง ปกป้องและเป็นที่พักให้เราจนกว่าฝนหยุด ท้องฟ้าเอื้อต่อการเดินทางอีกครั้ง หากไร้ซึ่งสายสัมพันธ์ในชีวิตเหล่านี้ นักเดินทาง ผู้เห็นอิสรภาพและความสันโดษเป็นหลักชัยในชีวิต คงมิอาจเดินทางถึงจุดหมาย ให้ผู้คนสถาปนาตนเป็นนักเดินทางที่แท้จริงได้
เรื่องราวความวัวหาย ความควายก็หายจะไม่จบเท่านี้ ความซุ่มซ่ามและความซวยไม่เคยปราณีคนอย่างเราอยู่แล้ว... โปรดติดตามตอนต่อไป

2 ความคิดเห็น: