"เกือบตกรถไฟ”
นักศึกษาปริญญาเอกอายุสิบยี่ค่อนปลายจากประเทศโลกที่สาม
และร่ำเรียนในดินแดนขั้วโลกใต้
ออกเดินทางไปยุโรปครั้งแรกเพื่อสำรวจพื้นที่เพื่อกรุยทางให้กับการเก็บข้อมูลเขียนวิทยานิพนธ์
ประเทศที่เธอตัดสินใจไปเยี่ยมชมศิวิไลซ์
และต้นกำเนิดของประชาธิปไตยขาดวิ่นในประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของเธอ มิใช่กรีก อังกฤษ
ฝรั่งเศส เยอรมันนี หรือมหาอำนาจบิ๊กบังอื่นๆ แต่คือ โรมาเนียและเซอร์เบีย
ที่เป็นโรมาเนีย เพราะนักศึกษาต้องไปเสนองานเขียนส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์ในงานประชุมนานาชาติเกี่ยวกับ
“การเมืองของอารมณ์ขัน” ที่เมืองกาลาต (Galaţi) นอกเหนือจากเหตุผลทางวิชาการ
เธอต้องการเห็นบ้านเกิดเมืองนอนของแดร็กคิวล่า ผู้ให้กำเนิดน้ำตกซกเล็ก
อาหารประจำถิ่นอีสานบ้านเฮา ส่วนที่เป็นเซอร์เบียเพราะเธอศึกษากลุ่มประท้วงที่ใช้
“ตลกเสียดสี” ในฐานะปฏิบัติการไร้ความรุนแรง (nonviolent action) และประสบความสำเร็จในการโค่นล้มรัฐบาลสโลโบดาน มิโลเชวิทช
ถามว่าเหตุใดถึงเป็นกลุ่มนี้ นักศึกษาปริญญาเอกที่ได้คุณภาพคับกล่องควรตอบว่าเป็นเพราะงานศึกษาก่อนหน้านี้ชี้ว่ากลุ่มประท้วงในเซอร์เบียดังกล่าวเป็นกรณีศึกษาโดดเด่น
ขณะที่คำตอบของนักศึกษาซึ่งคิดถึงการเขียนวิทยานิพนธ์เสมือนการผจญภัยในโลกกว้างควรเป็น
เพราะอยากรู้ว่าประชาชนไทยในประชาคมอาเซียนอย่างเราจะผ่าเหล่าผ่ากอทำวิจัยในดินแดนมหัศจรรย์ซึ่งตั้งอยู่สุดขอบฟ้าได้รอดหรือไม่...
เหตุผลง่ายๆ มันส์ๆ ก็แค่นั้น
หนังสือประวัติศศาสตร์ประเทศโรมาเนียเล่มหนึ่งอ้างว่าประชากรในประเทศนี้เป็นลูกหลานสืบสกุลมาจากอาณาจักรโรมัน
(Romania มาจากภาษาลาตินว่า romanus ซึ่งแปลว่า “ประชากรของกรุงโรม”) ยังไม่ทันอ่านต่อว่าปัจจุบันประเทศโรมาเนียมีสภาพเป็นเช่นไร
ความศิวิไลซ์จากเมื่อพันปีที่แล้วยังเหลือเศษซากให้โลกจดจำอีกหรือไม่
เราก็ด่วนสรุปไปทันทีว่ากำลังจะได้ไปประเทศพัฒนาแบบยุโรปฝั่งตะวันตก
บ้านเมืองต้องสะอาดหมดจด เป็นระเบียบเรียบเชียบ รถไฟตรงเวลา และที่สำคัญไม่มีคนขับแท็กซี่หัวหมอ
วินาทีที่ประตูสนามบินออตโตเปนี
(Otopeni) แห่งเมืองหลวงบูคาเรสของโรมาเนียเปิดออก
พี่โชเฟอร์แทกซี่ก็วิ่งปรี่เข้าหาเหยื่อนักท่องเที่ยวผู้กำลังมึนเครื่องบินอย่างขมีขมัน
เราคิดในใจดังๆ “เอาหล่ะ โรมาเนียกับกรุงเทพฯ อาจไม่ต่างกันมากอย่างที่ตั้งข้อสมมุติฐานไว้”
และแล้วข้อสมมุติฐานก็ได้รับการพิสูจน์เชิงประจักษ์
พี่แท็กซี่ที่รับเราไปส่งที่โฮสเตลวิ่งอ้อมเมืองสักแปดรอบ
หลังจากทำไก๋ไม่เข้าใจภาษาปะกิตที่เราใส่เป็นชุดเพื่อทักท้วงแกมต่อว่าว่าทำไมไม่ถึงที่พักสักที
พี่แท็กซี่มาจอดหน้าโฮสเตลหน้าตาเฉย แล้วเอานิ้วชี้ป้ายไปที่มิตเตอร์ซึ่งตอนแรกถูกบังด้วยเกียร์รถ
ค่าแท็กซี่ปาไป 30 ยูโร อยากจะร้องให้แข่งกับพระแม่ธรณีกรรแสง
ปริญญาเอกไม่ได้ช่วยให้มนุษย์อย่างข้าพเจ้าหลักแหลมขึ้นนัก
วันที่ไปถึงบูคาเรสเป็นวัน
“หดหู่” แห่งชาติโรมาเนีย เพราะฝนตกไม่ยอมหยุด อากาศก็หนาวถึงขั้วตับ
ลมแรงพัดตาตุ่มแทบยุบเรียบ ซวยแล้ว... ที่วางแผนว่าจะไปเที่ยวชมเมือง
โดยเฉพาะจุดที่ผู้นำเผด็จการนิโคเล เชาเชสคุ (Nicolae Ceauşescu) ถูกประชาชนวิสามัญเมื่อตอนล้มล้างระบบคอมมิวนิสต์เมื่อปีค.ศ.
1989 ก็เป็นอันต้องล้มพับไป วันที่สอง
วันที่สามก็แล้ว พายุฝนก็ไม่มีทีท่าจะหยุด เราพยายามเดินดูเมืองเรื่อยเปื่อย
หลอกตัวเองว่ากำลังอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ ทว่าการสร้างมายาคติให้กับตัวเองล้มเหลวน่าดู
ฝนโพรยพรำตลอดวันพร้อมอากาศยะเยือกปอดคอยย้ำเตือนว่าเรากำลังติดอยู่ในช่วงวันหดหู่แห่งชาติโรมาเนีย
วันที่สี่ในโรมาเนียเราต้องออกเดินทางไปเมืองกาลาต ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานประชุม
อยู่ทางตะวันออกของบูคาเรส และมีแม่น้ำดานูบไหลผ่านเพื่อออกไปยังทะเลดำ (Black Sea) ต้องจากบูคาเรสไปทั้งที่ยังไม่ได้ชมเมือง น่าเศร้าใจไม่น้อย
เราได้แต่ไปนั่งกร่อยที่สถานีรถไฟเมืองหลวง ซึ่งเอาเข้าจริงหัวลำโพงที่สร้างตั้งแต่รัชกาลที่ห้าบ้านเรายังดูน่าอภิรมย์กว่า
เคราะห์ดีที่สภาพในรถไฟของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปอย่างโรมาเนีย
ต่างจากรถไฟในเมืองไทยมากหลายกระบุง เราเดินแบกระเป๋าพะรุงพะรังเข้าไปหาที่นั่ง
ผู้โดยสารทุกคนมองตรงมาที่เราเหมือนเป็นมนุษย์ต่างด้าวมาจากดาวตาตี่ดั้งแบน
บ้างมองพลางเคี้ยวข้าวเหนียว เอ้ย...ขนมปังยัดเบคอนไปพลาง เรานั่งข้างแม่ลูกอ่อน
เด็กน้อยมองเราตาแป๋ว (คงสงสัยว่ายัยนี่ตัวอะไร) ส่วนแม่นั่งตัวเกร็ง
คงบ่นในใจว่าทำถึงได้ตั๋วนั่งข้างชาวเอเชียหน้าแปลก
จากบูคาเรสมาถึงเมืองกาลาต
ใช้เวลาประมาณสี่ชั่วโมงกว่า
อากาศหนาวน้อยลงขณะที่ลมชื้นและกลิ่นทะเลลอยมาสะกิดไหล่เรา นักศึกษาอาสาสมัครจากมหาวิทยาลัยดูนาเรีย เดอ
โยส (Universitatae Dunarea de jos
Galati) ซึ่งเป็นเจ้าภาพในการจัดงานมารอรับเราที่สถานีรถไฟ
เมื่อเห็นเรา สาวน้อยดีใจมาก เธอสารภาพว่า “ฉันตื่นเต้นมากเลย
คุณเป็นคนจีนคนแรกที่ฉันเคยเจอ” เรายิ้มละไมด้วยไมตรีจิต ตอบกลับไป “ฉันอาจทำให้เธอผิดหวังนะ
ฉันมาจากประเทศไทย” นักศึกษากุลีกุจอถามต่อ “อ้าวคนจีนไม่ได้อยู่ในประเทศไทยเหรอ”
เรายิ้มแบบมีน้ำอดน้ำทน ตอบกลับอีกทีว่า “ปล่าวจ๊ะ นั่นมันเรียกไทหวัน
มิใช่ไทแลนด์” จากนั้นความเงียบเข้าแทรกบทสนทนาของเราพักใหญ่ก่อนที่น้องนักศึกษาจะรวบรวมความมั่นใจได้อีกครั้งและเริ่มเล่าประวัติเมือง
รวมถึงชี้ชวนเราดูสถานที่ต่างๆ ระหว่างทางไปยังที่พัก
เมืองกาลาตเป็นเมืองเล็กๆ ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว
ซ้ำร้ายยังมีโรงงานอุตสาหกรรมตั้งเรียงรายนอกเขตเทศบาล นอกจากโบสถ์คริสเตียนออธอดอกซ์
และศาสนสถานสำคัญสองสามแห่ง เมืองเล็กๆ แห่งนี้
ไม่มีสถาปัตยกรรมประดับประดาเหมือนเมืองใหญ่อื่นๆ ในยุโรป
ทว่าสถานที่เหล่านี้ยังคงสภาพดั้งเดิม (จากคำบอกเล่าของน้องนักศึกษา) เพราะรอดพ้นจากการทำลายล้างในช่วงประวัติศาตร์นองเลือดของยุโรปต่างกาลนับตั้งแต่สงครามศักดิ์สิทธิ์ช่วงกลางศตวรรษที่
17 สงครามคาบสมุทรบอลข่าน สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สงครามโลกครั้งที่สอง
หรือกระทั่งระบอบคอมมิวนิสต์ของผู้นำชาวเชสคุก็มิอาจเปลี่ยนทำนองเพลงอันเนิบนาบที่บรรเลงขับเคลื่อนเมืองนี้ได้
สรุปว่าประวัติศาสตร์ของเมืองกาลาตนองเลือดน้อยกว่าเมืองใหญ่ๆ ของยุโรป แม้ไม่อาจทัดเทียมเรื่องความงามของสถาปัตยกรรมได้
กว่าเราจะค้นพบว่าความงามของเมืองนี้คือสายน้ำไหลเอื่อยคละเคล้ากับแดดรำไร
และอากาศอุ่นกำลังดี ก็ปาเข้าไปวันสุดท้ายของงานประชุม
ทีมงานพาผู้เข้าร่วมงานประชุม (ซึ่งเหลือหน่วยกล้าตายประมาณ 10 ชีวิต)
ร่องเรือดูแม่น้ำดานูบ จิบไวน์ท้องถิ่นไปพลาง พูดกันตามตรง แต่ไม่พูดต่อหน้าคนจัดงานเพราะเกรงจะถูกชก
งานประชุมเกือบล้มเหลวไม่เป็นท่าเพราะวัฒนธรรมการทำงานแบบ “ชิว เอาท์”
ของชาวยุโรปในแถบอุษาคเนย์ ทว่าทริปล่องเรือนี้เป็นยาขจัดความหงุดหงิดอย่างดี นอกเหนือจากแม่น้ำดานูบ
เย็นวันนั้นเราได้เห็นงานแต่งของคนท้องถิ่น แบบโรมันปนตริสเตียนออธอดอกซ์
ผู้ร่วมงาน บ่าวสาวและญาติเต้นล้อมเป็นวงกลม เตะเท้าซ้ายทีขวาที
ดนตรีประกอบครึกครื้นคล้ายงานรื่นเริงในต่างจังหวัดแถวบ้านเรา อาหารไม่เยอะ
แขกไม่ต้องแยะ แต่ดีกรีความรื่นเริงจากงานแต่งเล็กๆ ในห้องอาหารลึกลับ
ก็ทำให้คู่สมรสได้รับคำอวยพรอันอบอุ่น... โอปป้า!
จากเมืองกาลาตทางตะวันออกของประเทศ
เรานั่งรถไปข้ามภูมิภาคไปยังภาคเหนือตอนล่างแถบเทือกเขาคาร์ปาเทียน (Carpathian) แห่งเขตทรานซิลเวเนีย (Transylvania)เพื่อเริ่มปฏิบัติการตามรอยท่านเคาท์แดร็กคิวล่า
แน่นอนว่าปฏิบัติการย่อมขาดรสชาดหากนักผจญภัยอย่างเราไม่ซุ่มซ่ามจนลงรถไฟผิดป้าย
ต้องนอนค้างในเมืองลับแลหนึ่งคืนเพราะไม่มีรถไฟไปเมืองจุดหมายปลายทางบราชอพ (Braşov) ทว่าเมื่อดั้นด้นมาถึงเมืองท่านเคาท์ได้ในเช้าวันรุ่งขึ้น
เราก็ไม่ผิดหวังเลย ศูนย์กลางเมือง (city
centre) ของเมืองบราชอพ
ยังคงความเก่าแก่และมนต์ขลังของเมืองยุคกลางได้แทบไม่มีที่ติ
เราเดินรอบเมืองพูดคุยกับผู้คนแปลกหน้า พยายามเกลือกกลั้วตัวเองไปกับฝูงคนที่เดินจับจ่ายในเมืองช่วงบ่ายวันศุกร์
และแล้วเสียงเจื้อยแจ้ว ความหมายคุ้นหูก็ดังทะลุฝูงคนแปลกหน้ามากระแทกหลังเรา
“เดี๋ยวเราไปซ็อปปิ้งที่ไหนต่อดีอ่ะตัวเอง”... เฮ้ย! อุตส่าห์หลบมาตั้งไกล
ยังหนีไม่พ้นพี่ไทยขี้ช็อปเหรอ... ไม่ได้การ ต้องหนี
รุ่งสางของวันใหม่
เราซื้อทัวร์ไปดูบ้านท่านเคาท์แดร็กคิวล่าที่เมืองบราน (Bran) ซึ่งดูยังไง๊ยังไงก็มีบรรยากาศคล้ายอยุธยา คือเป็นเมืองที่พยายาม “เก่า”
เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่เสพสุขจากการท่องอดีตแบบประดิษฐ์อย่างเรา เมื่อปลอมมา
เราก็ปลอมกลับตามน้ำไป การฝืนบรรยากาศแห่งความเสแสร้ง อาจทำให้เราเป็นโรคเครียด
เกลียดโลก หน้าสูงวัยกว่าตัวเลขอายุจริง
เชื่อกันว่าปราสาทบราน
(Bran Castle) เป็นที่พำนักของท่านเคาท์แดร็กคิวล่า
หรือท้าววลาด นักเสียบ (Vlad the
Impaler – ที่จริงคำแปลภาษาไทยไม่ค่อยสะท้อนที่มาของชื่อท่านเค้าท์เท่าไหร่
ตำนาน “ผีดูดเลือด” ของเค้าท์วลาดมีที่มาจากวิธีการทรมานศัตรูด้วยการเสียบร่างกายของศัตรูด้วยเหล็กแหลม
จนเลือดหมดตัวเสียชีวิต) จากเจ้าชายในประวัติศาสตร์ยุคกลางของโรมาเนีย
ท่านเค้าท์กลายเป็นตัวละเอกในนิยายชื่อดังของแบรม สโตเกอร์ (Bram Stoker) เราคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เห็นที่พักของแดร็กคิวล่าเป็นบุญตาสักกครั้งในชีวิต
เมื่อไปถึง กาลกลับกลายเป็นว่าปราสาทหลังนี้เป็นที่อาศัยของเจ้าหญิงเจ้าชาย
ขุนเนื้อขุนนางทั้งจากมองโกล อาณาจักรออตโตมัน (ตุรกีปัจจุบัน) และฮังการี... ยกเว้นท่านเคาท์! โดนหลอกกันหล่ะคราวนี้ มิใช่เพียงข้าพเจ้าคนเดียวที่ถูกต้มจนเปื่อย
ยังมีเพื่อนร่วมเส้นทางแห่งความเขลาอีกหลายสิบชีวิต
นี่ยังไม่นับพวกที่ถูกหลอกมาก่อนหน้านี้ เราเดินทางกลับที่พักในเมืองบราชอพด้วยความชอกช้ำ
แต่ไม่หมดหวัง กลับไปนั่งหาข้อมูลว่าบ้านที่เคาท์ (ของจริง) อยู่ไหนกันแน่
ปรากฏว่าอยู่อีกเมืองใกล้ๆ กัน ชื่อว่า “ซิงจิชัวร่า” (Singhişoara) วันรุ่งขึ้นเราจัดแจงนั่งรถตู้ไปเสาะหาบ้านท่านเคาท์ของจริง
(แต่แอบระแวงเล็กน้อยว่าจะถูกหลอกอีก) เมื่อถึง เราพุ่งตรงไปสถานที่ซึ่งแผนที่ระบุว่าเคยเป็นบ้านของเค้าท์วลาดในวัยเยาว์
เรามองไปยังอาคารสีส้มอ่อน
สองชั้น ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมอันเรียบง่าย บนกำแพงหน้าบ้านมีป้ายชื่อซึ่งมิใคร่โดดเด่นเขียนว่า
“บ้านเค้าท์วลาด” เรางง...ทำไมเป็นท่านถึงขุนข้ำขุนนาง แต่อยู่ในกระต็อบโบกปูน
แถมชั้นแรกของอาคารถูกเปลี่ยนเป็น “คาเฟ่” (ในแถบคาบสมุทรบอลข่าน
คาเฟ่เป็นทั้งร้านกาแฟและร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์) ส่วนชั้นสองจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บของใช้ส่วนตัวของท่านเคาท์นับจำนวนชิ้นได้
เราเดินวนไปมาพักใหญ่ แล้วออกจากอาคารด้วยความงุนงงเล็กน้อย... เอ
หรือว่าท่านเคาท์ยึดในหลักเศรษฐกิจพอเพียง ถึงได้อาศัยในสถานที่ขนาดย่อมเช่นนี้?
หลายคำถามในโลกนี้มิมีคำตอบ นักเดินทางจึงเดินทางเพื่อค้นคว้าหาความงุนงงต่อไป
การเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางต่างๆ
ในโรมาเนียยาวนานเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด
อาจเพราะรถไฟแล่นเฉื่อยฉึกฉักไม่รวดเร็วทันใจเหมือนรถไฟด่วนเตเชเวในฝรั่งเศส
หรืออาจเป็นเพราะเราคือนักเดินทางแปลกถิ่นย่ำท่องบนท้องถนนอันไม่คุ้นเคย
เส้นทางสั้นๆ จึงดูเหมือนใช้เวลาเดินทางชั่วกัลป์กัล จากซิงจิชัวรามากลับมายังบราชอฟ
ตามแผนตอนแรก เราต้องนั่งรถตู้กลับ เพราะมัวแต่เถลไถล
เลยมาท่ารถตู้ไม่ทันรถคันสุดท้าย ทางเลือกสุดท้ายคือรถไฟท้องถิ่น ผู้โดยสารซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านสามัญ
(ตั้งแต่ชาวสวน พ่อค้า ไปยังคนเลี้ยงแกะ) แม้พยายามเพลิดเพลินกับการสังเกตวัฒนธรรมท้องถิ่นในหมู่ผู้โดยสารเพียงใด
แต่สายตาทุกคู่ซึ่งจ้องตรงมาที่เราก็ทำให้อึดอัดไม่น้อย ฉะนั้นเวลาชั่วโมงกว่าในรถไฟจึงผ่านไปช้าเหลือเกิน
วันต่อมาเรานั่งรถไฟจากบราชอฟกลับมายังฝั่งตะวันออกเพื่อผ่านไปยังเมืองชายฝั่งทะเลดำ
(Black Sea) ที่ชื่อว่าคอนสตันซา (Constança) ทว่าบรรยากาศในรถไฟน่ารื่นรมย์กว่ามาก
ผู้ร่วมเดินทางในโบกี้เดียวกัน สงสัยใครรู้ว่าเรามาจากไหน มาทำอะไร แล้วจะไปไหนต่อ
เลยส่งตัวแทนเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งส่งภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว
ให้มาสืบประวัติจากนักท่องเที่ยวเอเชียตาตี่ผิวเหลือง ทำไปทำมา
คนทั้งโบกี้ก็รู้ชีวประวัติเราอย่างถ่องแท้ เพราะแม่สาวเธอแปลทุกคำพูดและทุกเรื่องที่เล่าออกจากปากเรา
(สังเกตจากเวลายาวนานที่เธอใช้ในการแปลภาษาอังกฤษกลับเป็นภาษาท้องถิ่น)
กลายเป็นว่าพื้นที่ส่วนตัวซึ่งคนจากเมืองหลวงอย่างเราหวงนักหนา
ได้ถูกทะลุทะลวงด้วยความใคร่รู้ของผู้คนซึ่งมิอาจสื่อสารกับเราด้วยภาษาอื่นนอกเหนือจากภาษาโรมาเนียได้
แม้มีบทสนทนาช่วยฆ่าเวลา แต่การนั่งรถไฟเจ็ดถึงแปดชั่วโมง ก็ยาวนานจนเกือบทนไม่ได้
แต่เมื่อถึงเมืองคอนซตานซา อันเป็นจุดหมาย ความเหนื่อยหน่ายจากความเอื่อยเฉื่อยของรถไฟก็เกือบมลาย
เราวิ่งปรี่ไปยัง “ทะเลดำ” แต่แล้วก็ต้องชะงักงัน เมื่อพบว่าทะเลดำ
ไม่มีสีดำอย่างที่จินตนาการไว้! ชื่อ “ทะเลดำ”
เกี่ยวข้องกับตำนานปรัมปราของอาณาจักรโรมันมากกว่าสีของน้ำ บ้างร่ำลือว่าคำว่า “ดำ”
มีนัยถึงอากาศแปรปรวนในท้องทะเลที่ทำให้เดินเรือยาก หรือมีที่มาจากชนเผ่าป่าเถื่อนตามชายฝั่ง...
ทะเลดำที่ไม่มีสีดำจึงทำให้เราผิดหวังรอบสอง (ถัดจากเรื่องปราสาทท่านเค้าท์)
ในที่สุดเราก็ได้กลับมาที่บูคาเรสก่อนออกเดินทางไปเซอร์เบีย
วันนั้นอากาศปลอดโปร่ง เลยได้เดินเที่ยวทั่วเมือง และที่สำคัญมาก คือได้เยี่ยมชมที่ทำการรัฐสภา
และที่พำนักของประธานาธิบดีชาวเชสคุ รวมถึงระเบียงคฤหาสซึ่งเป็นจุดที่อดีตประธานาธิบดีถูกมวลสั่งวิสามัญ
มีเรื่องเล่ากันว่าครั้งหนึ่งป้าไมเคิล แจ็คสัน ผู้ล่วงลับของเรามาทัวร์คอนเสริ์ตที่โรมาเนีย
เธอมายืน ณ ระเบียง แห่งนี้ แล้วโพล่งออกไปด้วยความมั่นใจว่า “สวัสดีชาวเมืองบูดาเปส”... พี่คะ
นั่นมันชื่อเมืองหลวงของประเทศฮังการี
จากตัวเมืองบูคาเรสมายังสถานีรถไฟเพื่อเดินทางต่อไปยังนครหลวงเบลเกรด
“เราเกือบตกรถไฟ” เพราะคนขับรถเมล์ดันไม่บอกว่าเรานั่งรถเลยป้าย ถามไป
พี่แกก็ฟังภาษาอังกฤษไม่กระดิก จนเราต้องลงรถและหารถแท็กซี่ย้อนกลับมาที่สถานีรถไฟ
แต่ในที่สุดพระเจ้าก็เห็นความมุ่งมั่นและความ “ถึก”
ของนักศึกษาจากโลกที่สามอย่างเรา บันดาลให้มาถึงสถานีรถไฟทันเวลาพอดี ลองจินตนาการว่า
หากเราตกรถไฟที่บูคาเรสครั้งนั้น คงไม่มีเรื่องราวมันส์ๆ ที่จะเล่าให้ฟังให้ในตอนต่อๆ ไป
แล้วพบกันในเบลเกรด